ศาสนาคริสต์และอิสลามมีความเชื่อที่คล้ายๆกัน
คือ พระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ของอิสลามคือพระอัลลอฮ์ ของคริสต์ก็พระยะโฮวา ส่วนพระเยซูเขาว่าเป็นพระบุตร และเชื่อว่าชีวิตมีเพียงครั้งเดียว เมื่อตายไปวิญญาณก็จะออกจากร่างไปรอการตัดสินบุญ บาปในวันพิพากษาโลก( ในหนังสือบอกอย่างนั้นนะ ) ถ้าสร้างบุญคือความดีก็จะไปอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าทำบาปก็ตกนรกตลอดกาล คนล่ะเรื่องกับของศาสนาพุทธเลยที่ยังต้องเกิดอีกถ้ายังไม่หมดกิเลส
คือ พระเจ้ามีเพียงองค์เดียว ของอิสลามคือพระอัลลอฮ์ ของคริสต์ก็พระยะโฮวา ส่วนพระเยซูเขาว่าเป็นพระบุตร และเชื่อว่าชีวิตมีเพียงครั้งเดียว เมื่อตายไปวิญญาณก็จะออกจากร่างไปรอการตัดสินบุญ บาปในวันพิพากษาโลก( ในหนังสือบอกอย่างนั้นนะ ) ถ้าสร้างบุญคือความดีก็จะไปอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าทำบาปก็ตกนรกตลอดกาล คนล่ะเรื่องกับของศาสนาพุทธเลยที่ยังต้องเกิดอีกถ้ายังไม่หมดกิเลส
คริสต์และอิสลาสเชื่อว่าสวรรค์มีชั้นเดียวครับ มีพระเจ้าอยู่บนสวรรค์ด้วย เป็นดินแดนสุขาวดี มีสถานที่รื่นเริงมากมาย มีแม่น้ำที่สามารถดื่มและรสชาติอร่อยแบบที่ของกินบนโลกมนุษย์ไม่สามารถเทียบ ได้เลย พอผมได้ฟังผมก็คิดถึงสวรรค์ของชาวพุทธครับที่จะมีความสุขทางกาม (ตา หู จมูก ปาก และกายสัมผัส) เป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน
ส่วนนรกทั้งสองศาสนาก็เหมือนกันครับ เป็นไฟร้อนแบบที่ไฟบนโลกมนุษย์เทียบไม่ติด และต้องโดนเผาอยู่อย่างนั้นไม่มีวันตาย และต้องอยู่อย่างนั้นตลอดไป
มนุษย์มีเวลาที่จะเชื่อพระเจ้าเพียงตอนที่อยู่บนโลกมนุษย์เท่านั้น ต่อให้ทำเลวมาตลอดชีวิต แต่ถ้าก่อนตายรับเชื่อพระเจ้า วิญญาณหลังจากตายแล้วก็จะได้ไปสวรรค์ ตรงนี้ก็สอดคล้องกับพุทธศาสนาครับที่ว่า ไม่ว่าจะทำกรรมอันใดไว้ตลอดชีวิต แต่ถ้าก่อนตายนึกถึงในสิ่งที่ดีๆ ก็จะได้ไปเกิดในภพที่ดี เช่น สวรรค์ พรหม เป็นต้น หรืออย่างน้อยก็มนุษย์เช่นเดิม แต่ถ้าระหว่างตายจิตหลงอยู่ในความโลภ โกรธ หลง หรือคิดถึงกรรมชั่วที่ตนเองทำ ก็จะตกไปสู่อบายภูมิครับ
ส่วนนรกทั้งสองศาสนาก็เหมือนกันครับ เป็นไฟร้อนแบบที่ไฟบนโลกมนุษย์เทียบไม่ติด และต้องโดนเผาอยู่อย่างนั้นไม่มีวันตาย และต้องอยู่อย่างนั้นตลอดไป
มนุษย์มีเวลาที่จะเชื่อพระเจ้าเพียงตอนที่อยู่บนโลกมนุษย์เท่านั้น ต่อให้ทำเลวมาตลอดชีวิต แต่ถ้าก่อนตายรับเชื่อพระเจ้า วิญญาณหลังจากตายแล้วก็จะได้ไปสวรรค์ ตรงนี้ก็สอดคล้องกับพุทธศาสนาครับที่ว่า ไม่ว่าจะทำกรรมอันใดไว้ตลอดชีวิต แต่ถ้าก่อนตายนึกถึงในสิ่งที่ดีๆ ก็จะได้ไปเกิดในภพที่ดี เช่น สวรรค์ พรหม เป็นต้น หรืออย่างน้อยก็มนุษย์เช่นเดิม แต่ถ้าระหว่างตายจิตหลงอยู่ในความโลภ โกรธ หลง หรือคิดถึงกรรมชั่วที่ตนเองทำ ก็จะตกไปสู่อบายภูมิครับ
ศาสนาคริสต์มีจุดหมายปลายทางที่เป็นความสุขนิรันดร คือ สวรรค์อันเป็นอาณาจักรของพระ เจ้า วิธีปฏิบัติที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายปลายทางนั้น คือการปฏิบัติตามพระบัญญัติให้ครบถ้วน คือ รักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจและรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ชาวคริสต์เชื่อว่าชีวิตในโลกนี้มีเพียงครั้งเดียว ตายไปแล้วก็จะไปอยู่ในนรกสวรรค์ชั่วนิรันดร
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุด ทรงเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งตลอดทั้งกำหนดโชคชะตาของคนและสัตว์ เพราะฉะนั้นวิถีชีวิตของแต่ละคนจึงเป็นไปตามพรหมลิขิต แต่คนก็อาจเปลี่ยนวิถีชีวิตได้ หากทำให้พระพรหมเห็นใจและโปรดปราน โดยการบวงสรวงอ้อนวอนและกระทำความดีต่อพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงโปรดหากตายไปก็จะไปเกิดในสุคติภูมิ และถ้าหากโปรดเป็นที่สุด ก็จะได้ไปอยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร แต่ถ้าไม่ทรงโปรดก็จะไปเกิดในทุคติภูมิ ได้รับทุกข์เวทนาแสนสาหัส ชาวฮินดูเชื่อว่าวิญญาณเป็นอมตะจึงไม่ตายตามร่างกาย ที่ว่าตายนั้นเป็นเพียงวิญญาณออกจากร่างกาย เพราะร่างกายทรุดโทรมจนอาศัยอยู่ไม่ได้เท่านั้น วิญญาณก็จะไปถือเอาร่างใหม่ หรือที่เรียกว่า เกิดใหม่ ดุจคนสวมเสื้อผ้าเมื่อใช้นานไปก็เก่าครำคร่า ก็ไปหาชุดใหม่สวมก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้นวิญญาณจึงไม่มีเกิดมีตาย การเกิดตายเป็นเพียงเรื่องร่างกาย เท่านั้นเอง วิญญาณจะไปถือเอาร่างใหม่หรือที่เรียกว่าสังสารวัฏ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไปตราบที่ยังไม่บรรลุโมกษะ ชาวฮินดูเชื่อว่า โมกษะเป็นจุดหมายสูงสุดของชีวิต ผู้เข้าถึงโมกษะจะไปอยู่กับพระพรหมชั่วนิรันดร ไม่ต้องมาเวียนว่าย ตายเกิดอีกต่อไป
ศาสนาอิสลามมีจุดหมายปลายทางของชีวิตอันเป็นความสุขนิรันดร คือ การได้ไปอยู่กับพระอัลเลาะห์ วิธีปฏิบัติเพื่อให้บรรลุจุดหมายนั้นศาสนิกจะต้องปฏิบัติตามคำสอนของ พระมุฮัมมัดโดยเฉพาะหลักปฏิบัติ(อิบาดะห์) 5 ประการอย่างเคร่งครัดและถูกต้องสมบูรณ์ ชาวอิสลามเชื่อว่าชีวิตในโลกนี้มีเพียงครั้งเดียวจากนั้นจะไปอยู่สวรรค์หรือ นรกชั่วนิรันดร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น