จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

คู่มือ รับสถานการณ์น้ำท่วม

แบ่งปัน16
เหตุการณ์ อุทกภัยที่เกิดขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมาได้ได้สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่น้ำท่วม โดยทางรัฐและหน่วยงานที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบต้องกรทำการป้องกันและฟื้นฟู ระบบสาธารณูปโภคที่สำคัญก่อน อาจไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนได้อย่างทันที ดังนั้นประชาชนจึงควรมีความพร้อมในการเตรียมรับสถานการ์น้ำท่วมเพื่อป้องกัน และบรรเทาภัยที่จะเกิดขึ้นได้                       

 

การเตรียมการก่อนน้ำท่วม

           การป้องกันตัวเองและความสียหายจากน้ำท่วม ควรมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า เพราะหากรอให้มีการเตือนภัยเวลามักไม่เพียงพอ  รู้จักกับภัยน้ำท่วมของคุณ สอบถามหน่วยงานที่มีการจัดการด้านน้ำท่วม ด้วยคำถามดังต่อไปนี้
            - ภายในละแวกใกล้เคียงในรอบหลายปี เคยเกิดน้ำท่วมสูงที่สุดเท่าไร
            - เราสามารถคาดคะเนความเร็วน้ำหรือโคลนได้หรือไม่
            - เราจะได้การเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่น้ำจะมาถึงเป็นเวลาเท่าไหร่
            - เราจะได้รับการเตือนภัยอย่างไร
            - ถนนเส้นใดบ้าง ในละแวกนี้ที่จะถูกน้ำท่วมหรือจะมีสิ่งกีดขวาง

การรับมือสำหรับน้ำท่วมครั้งต่อไป

            1. คาดคะเนความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับทรัพย์สินของคุณเมื่อเกิดน้ำท่วม
            2. ทำความคุ้นเคยกับระบบการเตือนภัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขี้นตอนการอพยพ
            3. เรียนรู้เส้นทางการเดินทางที่ปลอดภัยที่สุด จากบ้านไปยังที่สูงหรือพื้นที่ปลอดภัย
            4. เตรียมเครื่องมือรับวิทยุแบบพกพา อุปกรณ์ทำอาหารฉุกเฉินแหล่งอาหารและไฟฉาย รวมทั้งแบตเตอร์รี่สำรอง
            5. ผู้คนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยน้ำท่วม ควรจะเตรียมวัสดุ เช่น กระสอบทราย แผ่นพลาสติก ไม้แผ่น ตะปู กาวซิลิโคน เพื่อใช้ป้องกันบ้านเรือน และควรทราบแหล่งวัตถุที่จะนำมาใช้
            6. นำรถยนต์และพาหนะไปเก็บไว้ในพื้นที่ซึ่งน้ำไม่ท่วมถึง
            7. ปรึกษาและทำข้อตกลงกับบริษัทประกันภัย เกี่ยวกับการประกันความเสียหาย
            8. บันทึกหมายเลขโทรศัพท์สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินและเก็บไว้ตามที่จำง่าย
            9. รวบรวมของใช้จำเป็นและเสบียงอาหารที่ต้องการใช้ ถายหลังน้ำท่วมไว้ในที่ปลอดภัยและสูงกว่าระดับที่คาดว่าน้ำจะท่วมถึง
          10. ทำบันทึกรายการทรัพย์สินมีค่างทั้งหมด ถ่ายรูปหรือวีดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐาน
          11. เก็บ บันทึกรายการทรัพย์สิน เอกสารสำคัญและของมีค่าอื่นๆ ในสถานที่ปลอดภัยห่างจากบ้านหรือห่างไกลจากที่น้ำท่วมถึง เช่น ตู้เซฟที่ธนาคาร หรือไปรษณีย์
          12. ทำแผนการรับมือน้ำท่วม และถ่ายเอกสารเก็บไว้เป็นหลักฐานที่สังเกตุได้ง่าย และติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วมที่เหมาะสมกับบ้านของคุณ

ถ้าคุณคือพ่อแม่

           - ทำหารซักซ้อมและให้ข้อมูลแก่บุตรหลานของคุณ ขณะเกิดน้ำท่วม เช่น ไม่สัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้า ปลั๊กไฟ หลีกเลี่ยงการเล่นน้ำและอยู่ใกล้เส้นทางน้ำ
           - ต้องการทราบหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินของหน่วยงานท้องถิ่น
           - ต้องการทราบแผนฉุกเฉินสำหรับ โรงเรียนที่บุตรหลานเรียนอยู่
           - เตรีมแผนการอพยพสำหรับครอบครัวของคุณ
           - จัดเตรียมกระสอบทราย เพื่อกันน้ำไม่ให้เข้าสู่บ้านเรือน
           - ต้องมั่นใจว่าเด็กๆ ได้รับทราบแผนการรับสถานการณ์น้ำท่วมของครอบครัวและของโรงเรียน

 

การทำแผนรับมือน้ำท่วม

           การจัดทำแผนรับมือน้ำท่วม จะช่วยให้คุณนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่จะต้องทำหลังได้รับการเตือนภัยเดินสำรวจทั่วทั้งบ้านด้วยคำแนะนำที่กล่าว มา พร้อมทั้งจดบันทึกด้วยว่าจะจัดการคำแนะนำอย่างไร ในช่วงเวลาที่ทุกๆ คนเร่งรีบและตื่นเต้นเนื่องจากภัยคุกคาม สิ่งที่สำคัญที่จะลืมไม่ได้ก็คือ หมายเลขโทรศัพท์ต่างๆ ที่สำคัญไว้ในแผนด้วย

ถ้าคุณมีเวลาเล็กน้อยหลังการเตือนภัย :

สิ่งที่ต้องทำและมีในแผน
           - สัญญาเตือนภัยฉุกเฉิน และสถานีวิทยุ หรือสถานีโทรทัศน์ที่รายงานสถานการณ์
           - รายชื่อสถานที่ 2 แห่งที่สมาชิกในครอบครัวสามารถพบกันได้หลังจากพลัดหลงโดยสถานที่แรกให้อยู่ ใกล้บริเวณบ้านและอีกสถานที่อยู่นอกพื้นที่ที่น้ำท่วมถึง

ระดับการเตือนภัยน้ำท่วม

ลักษณะการเตือนภัยมี 4 ประเภท คือ
          1. การเฝ้าระวังน้ำท่วม : มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดน้ำท่วมและอยู่ในระหว่างสังเกตุการณ์
          2. 
การเตือนภัยน้ำท่วม : เตือนภัยจะเกิดน้ำท่วม
          3. 
การเตือนภัยน้ำท่วมรุนแรง : เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง
          4. ภ
าวะปกติ : เหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติหรือเป็นพื้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม
สิ่งที่คุณควรทำ : หลังจากได้รับการเตือนภัยจากหน่วยงานด้านเตือนภัยน้ำท่วม
          1. ติดตามการประกาศเตือนภัยจากสถานีวิทยุท้องถิ่น โทรทัศน์หรือรถแจ้งข่าว
          2. ถ้ามีการเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันและคุณอยู่ในพื้นที่หุบเขาให้ปฎิบัติดังนี้
                  - ปีนขึ้นที่สูงให้เร็วสุดเท่าที่จะทำได้
                  - อย่าพยายานำสัมภาระติดตัวไปมากเกินไป ให้คิดว่าชีวิตสำคัญที่สุด
                  - อย่าพยายามวิ่งหรือขับรถผ่านบริเสณน้ำหลาก
          3. ดำเนินการตามแผนรับมือน้ำท่วมที่ได้วางแผนไว้แล้ว
          4. ถ้ามีการเตือนภัยการเฝ้าระวังน้ำท่วมจะยังมีเวลาในการเตรียมแผนรับมือน้ำท่วม
          5. ถ้ามีการเตือนภัยน้ำท่วมและคุณอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมถึง
              
ควรปฎิบัติดังนี้
                 - ปิดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและแก๊ซถ้าจำป็น
                 - อุดปิดช่องน้ำทิ้งอ่างล่างจาน
                 - พื้นที่ห้องน้ำและสุขภัณฑ์ที่น้ำสามารถไหลเข้าบ้าน
                 - อ่านวิธีการที่ทำให้ปลอดภัยจากเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่ออยู่นอกบ้าน
                 - ล็อคประตูบ้านและอพยพขึ้นที่สูง
               - ถ้าไม่มีที่ปลอดภัยบนที่สูง ให้ฟังข้อมูลจากวิทยุหรือโทรทัศน์เกี่ยวกับสถานที่หลบภัยของหน่วยงาน
          6. หากบ้านพักอาศัยของคุณไม่ได้อยู่ในที่น้ำท่วมถึง

               - อ่านวิธีการที่ทำให้ความปลอดภัยเมื่ออยู่ในบ้าน

          7. หากบ้านพักอาศัยของคุณไม่ได้อยู่ในที่น้ำท่วมถึงแต่อาจมีน้ำท่วมในห้องใต้ดิน
              - ปิดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องใต้ดิน
              - ปิดแก็ซหากคาดว่าน้ำจะท่วมเตาแก็ซ
              - เคลื่อนย้ายสิ่งของมีค่าขึ้นข้างบน
              - ห้ามอยู่ในห้องใต้ดิน เมื่อมีน้ำท่วมถีงบ้าน

น้ำท่วมฉับพลัน

           คือ น้ำท่วมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากในบริเวณที่ลุ่มต่ำ ในแม่น้ำ ลำธารหรือร่องน้ำที่เกิดจากฝนที่ตกหนักมากติดต่อกันหรือจากพายุฝนที่เกิดซ้ำ ที่หลายครั้ง น้ำป่าอาจเกิดจากที่สิ่งปลูกสร้างโดยมนุษย์ เช่น เขื่อนหรือฝายพังทลาย
            - ถ้าได้ยินการเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันให้วิ่งไปบนที่สูงทันที
            - ออกจารถและที่อยู่ คิดอย่างเดียวว่าต้องหนี
            - อย่าพยายามขับรถหรือวิ่งย้อนกลับไปทางที่ถูกน้ำท่วม

ปลอดภัยไว้ก่อนเมื่ออยู่นอกบ้าน

- ห้ามเดินตามเส้นทางที่น้ำไหล
            มีผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตจากจมน้ำตายในขณะที่น้ำกำลังมาความสูงของน้ำแค่ 15 ซม. ก็ทำให้เสียหลักล้มได้ ดังนั้นถ้ามีความจำเป็นต้องเดินผ่านที่น้ำไหลให้ลองนำไม้จุ่มเพื่อวัดระดับ น้ำก่อนทุกครั้ง
- ห้ามขับรถในพื้นที่ที่กำลังโดนน้ำท่วม
            การ ขับรถในพื้นที่ที่น้ำท่วมมีความเสียงสูงมากที่จะจมน้ำ หากเห็นป้ายเตือนตามเส้นทางต่างๆ ห้ามขับรถเข้าไปเพราะอาจมีอันตรายข้างหน้า น้ำสูง 50 ซม. พัดรถยนต์จักรยสานยนต์ให้ลอยได้
- ห้ามเข้าใกล้อุปกรณ์ไฟฟ้าและสาย :
           กระแส ไฟฟ้าสามารถวิ่งผ่านได้ เมื่อเกิดน้ำท่วมแต่ละครั้งจะมีผู้เสียชีวิต เนื่องจากไฟดูดมากกว่าสาเหตุอื่นๆ เมื่อเห็นสายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุดเสียหายกรุณาแจ้ง 191 หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หลังน้ำท่วม

3 ขั้นตอนที่คุณควรทำในวันแรก ๆ หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วม

ขั้นตอนที่ 1 : เอาใจใส่ตัวเอง

            หลังผ่านเหตุการณ์น้ำท่วม คุณและครอบครัวอาจเกิดความซึมเศร้า และต้องใช้เวลากลับสู่ภาวะปกติอย่าลืมว่าเหตุการณ์น้ำท่วมนั้นอาคารบ้าน เรือน ได้รับความเสียหาย คุณต้องดูแลตัวเองและครอบครัว พร้อมกับการบูรณะบ้านให้กลับบ้านเหมือนเดิม อุปสรรคที่สำคัญคือ ความเครียด รวมทั้งปัญหาอื่น เช่น นอนหลับยาก ฝันร้ายและปัญหาทางกาย โรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งคุณและครอบครัวควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
            1. ให้เวลากับครอบครัวเพราะความอบอุ่นในครอบครัวอาจช่วยเยี่ยวยารักษาได้ดี
            2. พูดคุยปัญหากลับเพื่อนและครอบครัว ร่วมแบ่งปันความกังวลจะช่วยให้ได้ระบายและผ่อนคลายความเครียด
            3. ผักผ่อนและกินอาหารที่เป็นประโยชน์ เพราะมีปัญหาทั้งความเครียดและทางกายเพิ่มขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ
            4. จัดรำดับสิ่งที่จำเป็นต้องทำตามลำดับก่อนหลังและค่อย ๆ ทำ
            5. ขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์เมื่อเกิดอาการซึมเศร้าจนที่จะรับมือได้
            6. ดูแลเด็กๆให้ดี และโปรดเข้าใจเด็กมีความตื่นกลัวไม่แพ้กัน และอย่าตำหนิเด็กที่มีพฤติกรรมแลก ๆ หลังจากน้ำท่วม เช่น ฉี่รดที่นอน ดูดนิ้วโป้งหรืเกาะคุณอยู่ตลอดเวลา จำไว้ว่าเด็กพึ่งผ่านเหตุการณ์ที่รุนแรงในชีวิต
           7. ระวังเรื่องสุขอนามัย เมื่ออยู่ในพื้นที่เคยน้ำท่วม

ขั้นตอนที่ 2 การจัดการดูแลบ้านของคุณ

           ที่ผ่านมามีผู้คนจำนวนมากเสียชีวิตเนื่องจากน้ำท่วมส่วนใหญ่เกิดจากถูกไฟดูด หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากน้ำลดสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อกลับบ้านคือ การตรวจสอบความปลอดภัย ก่อนเข้าบูรณะและอยู่อาศัย โดยมีขั้นตอนดังนี้
          1.ปรับจูนคลื่นวิทยุโทรทัศน์ ฟังรายงานสถานการณ์
          2.ติดต่อบริษัทประกันภัย เพื่อตรวจสอบความเสียหาย และซ่อมแซมทรัพย์สินต่าง ๆ
          3.เดินตรวจตารอบ ๆ บ้าน และเซ็คสายไฟฟ้า สายถังแก็สโดยถ้าหากเกิดแก็สรั่วจะสามารถรู้ได้จากกลิ่นแก็สให้ระวังและรีบ โทรแจ้งร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่าย
          4.ตรวจสอบความเสียหายของโครงสร้าง ตัวบ้าน ระเบียง หลังคา ให้แน่ใจว่าโครงสร้างทุกอย่างปลอดภัย
          5.ตัดระบบไฟฟ้าที่จ่ายเข้าบ้าน
          6.ปิดวาล์วแก็สให้สนิทหากได้กลิ่นแก็สรั่วก่อไม่ควรเข้าใกล้บริเวณนั้น
          7.เข้าไปในบ้านอย่างระมัดระวัง แลพอย่าใช้วัสดุที่ทำให้เกิดประกายไฟ
          8.ถ่ายรูปความเสียหาย เพื่อเรียกร้องค่าชดเชยจากประกัน (ถ้ามี)
          9.เก็บกู้สิ่งของที่มีค่า และห่อหุ้มรูปภาพหรือเอกสารสำคัญ
        10.เก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน เปิดหน้าต่างและประตู เพื่อระบายอากาศ และตรวจสอบความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐานของสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ
         11.ซ่อมแซมโครงสร้างที่เสียหาย
         12.เก็บกวาดกิ่งไม้หรือสิ่งปฏิกูลในบ้าน
         13.ตรวจ หารอยแตกหรือรั่วของท่อน้ำถ้าพบให้ปิดวาฃ์วตรงมิเตอร์น้ำ และไม่ควรดื่มและประกอบอาหารด้วยน้ำจากก๊อกน้ำ จนกว่าจะรู้ว่าสะอาดและปลอดภัย
          14 ระบายน้ำออกจากห้องใต้ดินอย่างช้า ๆ เนื่องจากแรงดันน้ำภายนอกอาจจะมากจนทำให้เกิดรอยแตกของผนังหรืพื้นห้องใต้ดิน
          15.กำจัดตะกอนที่มาจากน้ำเนื่องจากเซื้อโรคส่วนมากมักจะมาจากตะกอน

โรคที่มากับน้ำท่วม

โรคน้ำกัดเท้าและผื่นคัน

           เกิด ขึ้นได้ก็เพราะผิวหนังเท้าของเรา โดยเฉพาะที่ง่ามเท้าเกิดเปียกชื้นและสกปรก เวลาที่เท้าสกปรก สิ่งสกปรกจะเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ทำให้เชื้อราหรือเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ ดี เท้าที่แช่น้ำหรือเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา จะทำให้ผิวหนังที่เท้าอ่อนส่วนผิว ๆของหนังจะเปื่อยและหลุดออก เศษผิวหนังที่เปื่อยนี้จะทำให้เชื้อโรคที่ปลิวไปปลิวมาเกาะติดได้ง่าย และผิวที่เปื่อยก็เป็นอาหารของเชื้อราได้ดี เชื้อราจึงไปอาศัยทำให้เกิดแผลเล็กๆขึ้นตามซอกนิ้วเท้าเกิดเป็นโรคน้ำกัด เท้าขึ้น
โรคน้ำกัดเท้า มักพบว่ามีอาการคันและอักเสบตามซอกนิ้วเท้า (หรือนิ้วมือ) และถ้ามีเชื้อแบคทีเรียเข้าแทรกซ้อนด้วย ก็จะทำให้อักเสบเป็นหนอง และเจ็บปวดจนเดินลำบากได้

ไข้หวัด

          ไข้หวัดเป็นการติดเชื้อของจมูก และคอ บางครั้งเรียก upper respiratory tract infection URI เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งรวมเรียกว่า Coryza viruses ประกอบด้วย Rhino-viruses เป็นสำคัญ เชื้อชนิดอื่นๆมี Adenoviruses, Respiratory syncytial virus เมื่อเชื้อเข้าสู่จมูก และคอจะทำให้เยื่อจมูกบวม และแดง มีการหลังของเมือกออกมาแม้ว่าจะเป็นโรคที่หายเองใน 1 สัปดาห์แต่เป็นโรคที่นำผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุดโดยเฉลี่ยเด็กจะเป็นไข้ หวัด 6-12 ครั้งต่อปี ผู้ใหญ่จะเป็น 2-4 ครั้ง ผู้หญิงเป็นบ่อยกว่าผู้ชายเนื่องจากใกล้ชิดกับเด็ก คนสูงอายุอาจจะเป็นปีละครั้ง

โรคเครียดวิตกกังวล

           ความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่กระทำสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง การมีความเครียดน้อยเกินไปและมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีมันก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น แต่ความเครียดก็มีส่วนดีเช่น ความตื่นเต้นความท้าทายและความสนุก สรุปแล้วความเครียดคือสิ่งที่มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งมี่ทั้ง ผลดีและผลเสีย

โรคตาแดง

           โรคตาแดงเป็นโรคตาที่พบได้บ่อย เป็นการอักเสบของเยื่อบุตา(conjuntiva)ที่คลุมหนังตาบนและล่างรวมเยื่อบุตา ที่คลุมตาขาว โรคตาแดงอาจจะเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง สาเหตุอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีบ ไวรัส Chlamydia trachomatis ภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส มักจะติดต่อทางมือ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวโดยมากใช้เวลาหาย 2 สัปดาห์ ตาแดงจากโรคภูมิแพ้มักจะเป็นตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตาแห้ง การใช้contact lens หรือน้ำยาล้างตาก็เป็นสาเหตุของตาแดงเรื้อรัง

โรคอุจาจระร่วง

           โรคอุจจาระร่วง หมายถึง ภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลว จำนวน 3 ครั้งต่อกันหรือมากกว่า หรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้ง ใน 1 วัน หรือถ่ายเป็นมูกหรือปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้ง สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อในลำไส้จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว ปรสิตและหนอนพยาธิ สถานีอนามัย โรงพยาบาลชุมชนในประเทศไทยมักจะหาสาเหตุของเชื้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการ อุจจาระร่วงไม่ได้ ก็จะให้การวินิจฉัยจากอาการ อาการแสดงและลักษณะอุจจาระได้แก่ บิด (Dysentery) อาหารเป็นพิษ (Food poisoning) ไข้ทัยฟอยด์ (Typhoid fever) เป็นต้น ในกรณีที่มีอาการของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันไม่ใช่โรคดังกล่าวข้างต้น และอาการไม่เกิน 14 วัน ก็จะรายงานเป็นโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute diarrhea)

แหล่งให้ความช่วยเหลือน้ำท่วม

หน่วยงานให้ความช่วยเหลือน้ำท่วม

หน่วยงานให้ความช่วยเหลือน้ำท่วมและหมายเลขสอบถามข้อมูลน้ำท่วมต่าง ๆ

1. ศูนย์รับบริจาคสิ่งของโคราช
     - หากต้องการบริจาคสิ่งของ ให้ไปที่ศาลากลาง จังหวัดนครราชสีมานะคะ
     - ต้องการบริจาคเงิน ติดต่อได้ที่เบอร์โทร 044-259-996-8, 044-259-993-4 หรือโอนมาได้ที่ ธนาคารกรุงไทย สาขานครราชสีมา บัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จ.นครราชสีมา” เลขบัญชี 301-0-86149-4
2. ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จังหวัดนครราชสีมา
      - สามารถสอบถามและขอความช่วยเหลือได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 044-342652-4 และ 044-342570-7
3. โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา
      - สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 086-251-2188 ตลอด 24 ชั่วโมง
      - ทางโรงพยาบาลมีความต้องการน้ำดื่มบรรจุขวด นมกล่อง และอาหารแห้ง รวมทั้งของใช้เบ็ดเตล็ดผู้ป่วย เช่น ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ผ้าอนามัย เป็นจำนวนมาก
      - สามารถบริจาคเงินไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย สาขานครราชสีมา บัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา” เลขที่บัญชี 301-3-40176-1
4. กรมอุตุนิยมวิทยา
       - เว็บไซต์ tmd.go.th
       - สายด่วนกรมอุตุนิยมวิทยา โทร. 1182
       - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา กรุงเทพมหานคร (AM 1287 KHz) โทร. 02-383-9003-4, 02-399-4394
        - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา จ.นครราชสีมา (FM 94.25 MHz)โทร. 044-255-252
        - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา จ.พิษณุโลก (FM 104.25 MHz) โทร. 055-284-328-9
        - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา จ.ระยอง (FM 105.25 MHz) โทร. 038-655-075, 038-655-477
        - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา จ.ภูเก็ต (FM 107.25 MHz) โทร. 076-216-549
        - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา จ.ชุมพร (FM 94.25 MHz) โทร. 077-511-421
5. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
        - เว็บไซต์ disaster.go.th
        - สายด่วนนิรภัย หมายเลขโทรศัพท์ 1784
         - ขบวนช่วยเหลือน้ำท่วมออกเรื่อย ๆ ขอรับบริจาคเน้นไปที่ น้ำ, ยาแก้ไข้, เสื้อ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02-241-7450-6 แผนที่คลิกที่นี่
6. กรุงเทพมหานคร
         - สามารถไปบริจาคสิ่งของได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย อาคารศาลาว่าการกทม.1 (เสาชิงช้า), ศาลาว่าการกทม.2(ดินแดง) และที่สำนักงานเขตทุกแห่งทั่วกรุงเทพฯ 50 แห่ง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02-354-6858
 
7. สภากาชาดไทย
        - สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02-251-7853-6 , 02-251-7614-5 ต่อ 1603
        - สามารถบริจาคเงินไปได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย บัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “สภากาชาดไทยช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย” เลขที่บัญชี 045-3-04190-6 แล้วแฟ็กซ์ใบนำฝากพร้อมเขียนชื่อและที่อยู่มาที่ สำนักงานการคลัง สภากาชาดไทย ถึงหัวหน้าฝ่ายการเงิน หมายเลขโทรสาร 02-250-0120 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02-256-4066-8
        - สามารถไปบริจาคสิ่งของได้ที่ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย 1871 ถนนอังรีดูนังต์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 หากมาจากถนนพระราม 4 ให้เลี้ยวตรงแยกอังรีดูนังต์ เมื่อเข้าสู่ถนนอังรีดูนังต์ให้ชิดซ้ายทันที เนื่องจากอยู่ต้นๆถนน (ทางด้านพระราม 4) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-251-7853-6 ต่อ 1603 หรือ 1102 หากเป็นวันหยุดราชการ ต่อ 1302 , 02-251-7614-5 หมายเลขโทรสาร 02-252-7976
        - สามารถลงทะเบียนร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมได้ที่ http://www.rtrc.in.th/ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02-251-7853-6 , 02-251-7614-5 ต่อ 1603 มาช่วยแพ็คชุดธารน้ำใจ หรือช่วยขนพวกข้าวสารอาหารแห้งขึ้นรถบรรทุก แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า ต้องการผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง และสามารถยกของหนักได้ (เพราะงานค่อนข้างหนัก และต้องยกของหนัก) เป็นผู้ชายก็จะดีมาก หากเราต้องการกำลังพล จะโทรศัพท์ไปติดต่อว่าจะสะดวกมาในวันที่เราแพ็คของหรือไม่ เป็นราย ๆ ไป

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

ระบอบฟิวดัล (Feudalism) สงครามครูเสด



ระบอบฟิวดัล
 เมื่อราชอาณาจักรแคโรแลงเจียนสิ้นสุดลงแล้วนั่น สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือการปกครองในระบอบ
ศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudal Kingdoms) และสังคมสมัยกลาง (Medieval society) ซึ่งประกอบด้วยรูปแบบสังคมเยอรมนิคและสังคมโรมันทั้งสองแบบนี้ถูกนำมาหล่อ หลอมกันกันกลายเป็นลักษณะเฉพาะ
แบบของสังคมสมัยกลาง ซึ่งปรากฏทั่วไปในสังคมวิถีแห่งชีวิตประชากร เกี่ยวเนื่องกับสถาบันทุกสถาบัน รวมทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและขบวนการยุติธรรมแห่งสมัย รวมทั้งทางด้านศาสนาด้วย ดังนั้นการที่จะเข้าใจลักษณะแห่งระบอบฟิลดัล จึงต้องเข้าใจถึงวิถีชีวิตและสังคมสมัยกลางด้วย
          ที่ มาของระบอบฟิวดัล (Origin of Feudalism) อาณาจักรที่เกิดขึ้นแทนที่จักรวรรดิแคโรแลงเจียนคือดินแดนต่างๆ ในระบบฟิวดัล สังคมสมัยกลางซึ่งเป็นเสมือนลักษณะผสมระหว่างเยอรมนิคและโรมันที่ถูกหล่อ หลอม
เป็นรูปแบบใหม่ ระบบฟิวดัลนี้คือระบบการเป็นเจ้าของที่ดินที่พื้นฐานมาจากการรับราชการทหาร เริ่มมีขึ้นในยุโรปเมื่อประมาณศตวรรษที่ 8 และ 9 รุ่งเรื่องถึงที่สุดในศตวรรษที่ 12 และ 13 ครั้นแล้วจึงได้เริ่มเสื่อมลงตามลำดับ

ลักษณะความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ในระบบฟิวดัลเป็นอย่างไร
                ระบบฟิวดัลเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง Lord (เจ้านาย) กับVassal (ผู้พึ่ง) เป็นระบบการระจายอำนาจออกจาก
ศูนย์กลางกษัตริย์ไปยังขุนนางแคว้นต่างๆ ขุนนางต่างมีกองทัพของตนเอง

ลักษณะความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ในระบบฟิวดัลเป็นอย่างไร
                หน้าที่ของ   Lord คือพิทักษ์รักษาVassalและที่ดินของ Vassalจากศัตรูและให้ความยุติธรรม ปกป้องคุ้มครองในการพิจารณาคดี   
                     
โครงสร้างทางสังคมของระบบฟิวดัล
1.  กษัตริย์ มีฐานะเป็น Lord สูงสุดโดยมีขุนนางเป็นVassalมีพันธะผูกพันทางหน้าที่ต่อกัน  กษัตริย์จะพระราชทานที่ดินเป็นการมอบหมายอำนาจในการปกครองให้กับขุนนาง อำนาจของกษัตริย์อ่อนลง
ปกครองราษฎร์ที่อยู่รอบพระนคร    ดินแดนส่วนอื่นๆเป็นของขุนนาง  และมีความผูกพันกับกษัตริย์โดยยกย่องให้เป็นหัวหน้า  มีข้อผูกพันกับกษัตริย์เพราะมีที่ดินอยู่ในอาณาเขตจึงยอมเป็นVassal มีหน้าที่ช่วยเหลือพระเจ้าแผ่นดินยามสงคราม ที่ดินที่กษัตริย์พระราชทานให้สามารถริบคืนได้ถ้าVassalไม่ปฏิบัติตามสัญญา หรือสิ้นชีวิตโดย ไม่มีทายาท
2. ชนชั้นปกครองหรือขุนนางเจ้าของที่ดิน (Suzerain)นับตั้งแต่อัศวินขึ้นไปในฝรั่งเศส มีบรรดาศักดิ์เป็น Duke,Earl, Lord, Baron, Countมีการปกครองลดหลั่นตามลำดับขั้น
ดูแลปกครองเสรีชน และเสรีชนมีฐานะเป็น Vassalของขุนนาง  ขุนนางมีฐานะเป็นทั้ง Vassalของกษัตริย์ ซึ่งVassalมีหน้าที่ส่งทหารของตนไปสมทบกับกองทัพของLord   และช่วยเหลือทางการเงินแก่Lord  
ขุนนางชั้นสูงยังมีฐานะเป็นLord ของขุนนางชั้นต่ำกว่าลงมา ขุนนางเป็นเจ้าของปราสาทหรือคฤหาสน์ยังมีขุนนางที่ผ่านการฝึกได้รับการ สถาปนาแต่ตั้งให้เป็นอัศวิน(Knight)
ไม่ใช่ขุนนางที่สืบทอดทางสายโลหิต
3. เสรีชน (villain) ส่วนใหญ่เป็นชาวนา  เป็นผู้เช่าที่ดินซึ่งเคยเป็นของตนเองแต่ไม่มีภาระผูกติดกับที่ดิน
หรือเป็นเจ้าของที่นาขนาดเล็ก ชาวนารายเล็กๆ
4.  ทาสติดที่ดิน(serf) คือชาวนาที่อาศัย ทำกินบนที่ดินตั้งแต่บรรพบุรุษ ต้องผูกติดกับที่ดิน จะโยกย้ายไปไหนไม่ได้ อยู่ในการควบคุมของเจ้านาย ต้องเสียภาษีรัชชูปการ
ภาษีผลิตผลที่ผลิตได้ให้เจ้านาย ยอมให้เจ้านายเกณฑ์แรงงานขุดคู สร้างสะพาน
5.  พระและนักบวช  มีบทบาททางการอบรมจิตใจให้แก่สามัญชน
    
 การเลื่อนชั้นทางสังคมทำได้หรือไม่
           การเลื่อนชั้นทางสังคมของชาวนาอิสระและทาสติดที่ดินทำได้ยากเพราะชนชั้นเจ้าของที่ดินและชาวนา
มีระบบสืบทอดกรรมสิทธิ์ตามสายโลหิต

การขยายพื้นที่อาณาเขตทำได้โดยวิธีใด
1.  โดยวิธีแย่งชิง ทำสงคราม
2.   การแต่งงานและการรับมรดก
          สงครามครูเสด ( Crusade war)

          จุดเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่ทำให้ยุคกลางซึ่งมีอิทธิพลเหนือ ยุโรป เป็นระยะเวลากว่า 1,000 ปีต้องล่มสลายลงไป ก็เนื่องจากพลังของสงครามศาสนาที่เริ่มเกิดขึ้นผลของสงครามครูเสดนี่เองที่ เป็นผลให้ความเชื่อในคริสต์ศษสนาเริ่มเสื่อมลง ผู้คนเริ่มหมดศรัทธาจาก ศาสนจักร เริ่มมีการเห็นวิทยาการใหม่ๆจากโลกมุสลิมทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนสังคมยุโรป ให้ก้าวเข้าสู่การเรียนรู้ขนานใหญ่ในเวลาต่อมา

          สงครามครูเสด หรือ สงครามไม้กางเขน เป็นสงครามทางศาสนาระหว่างพวกคริสเตียนและพวกมุสลิม ระหว่าง   ค.ศ.1096–1291 สาเหตุของสงครามเกิดจากการที่พวกคริสเตียนที่ต้องการจาริกแสวงบุญไปยังเมืองเยรูซาเล็ม (Jerusalem) ซึ่งเป็นที่ประสูติของพระเยซูและเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาคริสต์ ถูกรบกวนจากพวกเร่ร่อนเผ่าเซลจุค เตอร์ก (Seljuk Turks) ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม คอยขัดขวางไม่ให้ชาวคริสต์เดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ชาวคริสต์ได้ร้องเรียนและขอความช่วยเหลือจากสันตะปาปาที่กรุงโรม สันตะปาปาและชาวยุโรปในสมัยนั้นเห็นว่า การยึดครองเมืองเยรูซาเล็มจะทำให้ได้อาณาจักรของคริสต์ศาสนามาเป็นของตน จึงชักชวนให้ชาวคริสต์จับอาวุธทำสงครามปราบพวกเตอร์ก ซึ่งดูถูกศาสนาคริสต์และข่มเหงชาวคริสต์ โดยให้ถือว่าการเดินทางไปทำสงครามศาสนาเป็นการไถ่บาปและจะได้ขึ้นสวรรค์ การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าเป็นเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้า

          สงครามครูเสดก่อให้เกิดผลหลายประการต่อยุโรป ในด้านการทหาร ถือว่าเป็นความล้มเหลวของชาวคริสต์ เพราะไม่สามารถขับไล่พวกมุสลิมออกไปจากดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ได้ ทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการฟื้นฟูการค้าในยุโรป เกิดมีเมืองใหญ่ และธนาคาร ผลทางสังคม ทำให้ระบบฟิวดัลเสื่อมลง พวกทาสได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ทางด้านศาสนา ทำให้คนเสื่อมศรัทธาในศาสนา สันตะปาปามีชื่อเสียงลดลง ในทางการเมือง ทำให้กษัตริย์กลับขึ้นมามีอำนาจใหม่ และทางด้านวิทยาการ ทำให้ชาวยุโรปได้รับความรู้ใหม่ ๆ จากโลกตะวันออก และทำให้เกิดการฟื้นฟูศิลปวิทยาการในเวลาต่อมา กล่าวโดยสรุป สภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของยุโรปเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคสมัยใหม่

อารยธรรมโลกสมัยกลาง (The Middle Ages)

อารยธรรมโลกสมัยกลาง (The Middle Ages)

          
หรือยุคมืด โลกสมัยกลางอยู่ในช่วงระยะเวลา 1,000 ปี ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 15 หลังจากที่จักรวรรดิโรมันต้องเสื่อมสลายลง เนื่องจากการรุกรานของอนารยชนเผ่าเยอรมันในปีค.ศ. 476

          
บริบทโดยทั่วๆไปของยุคกลางจะพบว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่เกิดความไม่ แน่นอน ระส่ำระสายเพราะเป็นช่วงระยะเวลาที่บริเวณต่างๆที่เคยขึ้นกับจักรวรรดิโรมัน เริ่มมีสิทธิในการดูแลตนเองจากการล่มสลายของโรมัน เมืองต่างๆในยุโรปจึงเริ่มมีการสู้รบเพื่อแย่งชิงดินแดนภายในยุโรปมากขึ้น ประวัติศาสต์สมัยกลางเป็นการเชื่อมต่อระหว่างอารยธรรมโบราณและสมัยใหม่ มนุษย์ในสมัยกลางมีทัศนคติและจุดมุ่งหมายในชีวิตผิด ไปจากมนุษยสมัยคลาสสิก (สมัยกรีกและโรมัน) อย่างเห็นได้ชัดเจน ความสนใจของมนุษย์ในสมัยกลางหันไปสู่จุดมุ่งหมายทางคริสต์ ซึ่งขยายตัวเป็นอย่างมากในช่วงจักรวรรดิโรมัน ซึ่งเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมันในสมัยพระจักรพรรดิ เกรเลี่ยน เป็นผลให้อิทธิพลของศาสนจักรเริ่มมีการสืบทอดและอำนาจของบาทหลวงเริ่มมีมาก ขึ้นด้วยนอกจากนี้ ศาสนจักรเป็นผู้ชี้โชคชะตาและอนาคตของมนุษย์

          
ทั้งนี้เพราะ ชั่วชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย อยู่ภายใต้การดูแลของศาสนจักร มนุษย์จึงดำเนินชีวิตตามทางที่ศาสนจักร กำหนดคนที่คิดนอกเหนือไปจากคำสอนในคัมภร์ไบเบิ้ลหรือแนวสอนของศาสนจักรจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต เป็นแม่มด   พ่อมด มีมาตราการลงโทษเช่นการเผาทั้งเป็น และการทรมานต่างๆ ดังนั้นงานสร้างสรรค์อันเป็นมรดกของสมัยกลางจึงแตกต่างไปจากสมัยกรีก โรมัน มีคำถามที่ตามมาว่า ทำไมคนในยุคกลางจึงเชื่อมั่นในคริสต์ศาสนาอย่างมาก อะไรเป็นแรงจูงใจ อาจพอสรุปได้ว่า การจัดการภายในของศาสนจักรมีรูปแบบที่แน่นอน มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเป็นระเบียบวินัย สวามารถดำเนินงานต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ ตามความเชื่อขิองคริสต์ศาสนเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนถือกำเนิดขึ้นพร้อมมีความบาปที่ติดตัว จึงเป็นหน้าที่ของพระเยซูและศานุศิษย์ จะต้องเป็นผู้ที่คอยไถ่บาป เพื่อให้มนุษย์อยู่ร่วมกับพระเจ้า ดังนั้นศาสนจักรจึงเข้ามามีบทบาทในการดำเนินวัตถุประสงค์ดังกล่าว

          
ด้วยอิทธิพลของคริสต์ศาสนาที่ปกครองไปทั่วยุโรป เป็นผลให้ในระยะเวลาดังกล่าว ทั่วยุโรปแทบจะเป็นภาพนิ่ง รูปแบบการดำรงชีวิตจะเป็นไปในการทำมาหากินภายในแมนเนอร์ของตนเท่านั้น กระบวนการการค้าที่เคยเฟื่องฟูในช่วงจักรวรรดิโรมันมีปริมาณลดลงแต่มิได้ หมายความว่าในภาคการผลิตจะไม่ปรากฏแต่ภาพใต ้เงื้อมมือแห่งศาสนจักร รูปแบบทางการผลิตในยุคกลางกลับมีลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจ

          
การเกษตรในยุคกลางส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการภายใต้ระบบแมนเนอร์( Mannor) ระบบนี้ได้พยายามทำให้การจัดระบบการผลิตแบบเลี้ยงตัวเองเกิดประสิทธิภาพมาก ที่สุดในยุคกลางแมนเนอร์แต่ละแมนนอร์ จะมีความห่างไกลกันมาก ดังนั้น ผู้คนที่อยู่ในแต่ละแมนเนอร์ จะมีความผูกพันกับที่ดินและมีความพยายามที่จะทำให้ที่ดินเกิดประโยชน์สูงสุด ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ระะบบคฤหาสน์หรือ แมนเนอร์ จึงเป็นสถาบันหลักในการจัดการนำปัจจัยการผลิตที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือ คือ แรงงานและที่ดิน เข้ามาใช้ในการผลิต ซึ่งที่ดินถูกถือครองโดยชนชั้นเจ้านายหรือขุนนางเป็นลำดับขั้น อยู่ภายใต้ระบบการถือครองที่ดินที่เรียกว่า ระบบศักดินา ( feudalism) ที่ผู้คนจะทำงานร่วมกันเพื่อหาเลี้ยงชีพจากที่ผืนเดียวกัน เลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้าเดียวกัน จับปลาในแหล่งน้ำเดียวกัน จ่ายค่าธรรมเนียมให้กับชนชั้นเจ้านายเดียวกัน เจ้าของแมนเนอร์จะแบ่งสรรที่ดิน ออกเป็นสัดส่วน เพื่อเป็นการใช้เพาะปลูกตามฤดูกาลเป็นส่วนของเจ้าของแมนเนอร์เองบ้าง แบ่งให้ผู้อื่นเช่าทำบ้าง

          
อารยธรรมอิสลาม
         
          
ศาสนาอิสลามถือกำเนิดในคาบสมุทรอาหรับในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7 โดยมีพระมุฮัมหมัด (ค.ศ.570 – 632) เป็นผู้ประกาศศาสนา ก่อนเกิดศาสนาอิสลาม ชาวอาหรับนับถือ เทพเจ้าหลายองค์ รวมทั้งนับถือธรรมชาติแวดล้อม เช่น น้ำพุ ต้นไม้ และหิน เป็นต้น ปูชนียสถานที่ชาวอาหรับพากันเดินทางมาสักการะเป็นประจำทุกปี คือ วิหารกาบา ในเมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานหินศักดิ์สิทธิ์สีดำ คาบสมุทรอาหรับเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างจักรวรรดิไบแซนไตน์กับประเทศต่างๆ ทางแถบมหาสมุทรอินเดีย

          
ชาวอาหรับได้รวมตัวกันเป็นชาติอิสลามที่ตั้งอยู่บนรากฐานความ ผูกพันทางศาสนา คำสอนสั้นๆ ของพระมุฮัมหมัดที่ว่า มุสลิม ทุกคนเป็นพี่น้องกันมีความสำคัญในการรวมชาติ รวมพลัง ยุติความแตกแยกระหว่างเผ่า รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้ชาติและศาสนาอิสลาม นอกจากเป็นแรงดึงดูดในการรวมชาติแล้ว ศาสนาอิสลามยังเป็นแรงจูงใจ ของกองทัพมุสลิมที่จะออกทำสงครามขยายอำนาจไปยังดินแดนต่างๆ เพราะชาวมุสลิมเชื่อในคำสอนที่ว่ารบและเสียชีวิตเพื่อศาสนาจะได้เสวยสุขบนสวรรค์ในชาติหน้าดังนั้น ภายในศตวรรษเดียว กองทัพมุสลิมก็สามารถสร้างจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ ตั้งแต่เทือกเขา พีเรนีส์ในประเทศสเปน และแอฟริกาเหนือ อียิปต์ ดินแดนต่างๆ ในตะวันออกกลางตลอดเรื่อยมาจนถึงลุ่มแม่น้ำสินธุในอินเดีย

          
การขยายตัวของอิสลาม

          
คือ การรวมเอาชนชาติที่มีความเจริญมาก่อนเข้าไว้ในจักรวรรดิ เป็นการรวมเอาวัฒนธรรมที่เด่นๆ ของโลกมารวมไว้ในสังคมเดียวกัน ที่ใช้ภาษาอาหรับเป็นภาษาร่วม วัฒนธรรมดังกล่าว คือ วัฒนธรรมกรีก โรมัน เปอร์เซีย บาบิโลเนีย อียิปต์ ยิว อินเดีย วัฒนธรรมของชนเผ่าเยอรมัน และวัฒนธรรมอาหรับ และจากบรรดาวัฒนธรรมทั้งหลายที่กล่าวมานี้ วัฒนธรรมใหญ่ก็ถือกำเนิดขึ้นมา คือ วัฒนธรรมอิสลาม ซึ่งยังคงรักษาบางสิ่งบางอย่างของขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมเดิมไว้ ความรุ่งโรจน์ทางวัฒนธรรมของอิสลามมาจากความสามารถในการรับเอาส่วนที่ดีที่สุดของวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกโลกอิสลาม มาใช้ การศึกษาและแปลงานอมตะของกรีกเป็นภาษาอาหรับก็ดี การแปลงานจากภาษาสันสกฤตก็ดี ทำให้นักศึกษาอาหรับได้ความรู้เกี่ยวกับปรัชญาและวิทยาการแขนงต่างๆ ของกรีกและอินเดีย ซึ่งเป็นรากฐานของความเจริญงอกงามของวิทยาการอิสลาม ความสำเร็จในด้านศิลปวิทยาการของอิสลามได้มาจากอาหรับ แต่มาจากชนชาติอื่นๆ ที่มีความเจริญมานานแล้วในเปอร์เซีย ซีเรีย เมโสโปเตเมีย อียิปต์ และสเปน ในบรรดาวิทยาการของอิสลาม วิทยาศาสตร์และปรัชญามีความก้าวหน้ามากที่สุด กล่าวโดยสรุป มุสลิมเป็นสะพานเชื่อมอารยธรรมตะวันตกและตะวันออกให้ประสานกันอยู่เป็นเวลาหลาร้อยปี พวกพ่อค้ามุสลิมได้นำความเจริญเผยแพร่ไปยังยุโรปและเอเชีย

          
สงครามครูเสด ( Crusade war)

          
จุดเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่ทำให้ยุคกลางซึ่งมีอิทธิพลเหนือ ยุโรป เป็นระยะเวลากว่า 1,000 ปีต้องล่มสลายลงไป ก็เนื่องจากพลังของสงครามศาสนาที่เริ่มเกิดขึ้นผลของสงครามครูเสดนี่เองที่ เป็นผลให้ความเชื่อในคริสต์ศษสนาเริ่มเสื่อมลง ผู้คนเริ่มหมดศรัทธาจาก ศาสนจักร เริ่มมีการเห็นวิทยาการใหม่ๆจากโลกมุสลิมทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนสังคมยุโรป ให้ก้าวเข้าสู่การเรียนรู้ขนานใหญ่ในเวลาต่อมา

          
สงครามครูเสด หรือ สงครามไม้กางเขน เป็นสงครามทางศาสนาระหว่างพวกคริสเตียนและพวกมุสลิม ระหว่าง   ค.ศ.1096–1291 สาเหตุของสงครามเกิดจากการที่พวกคริสเตียนที่ต้องการจาริกแสวงบุญไปยังเมืองเยรูซาเล็ม (Jerusalem) ซึ่งเป็นที่ประสูติของพระเยซูและเป็นแหล่งกำเนิดของศาสนาคริสต์ ถูกรบกวนจากพวกเร่ร่อนเผ่าเซลจุค เตอร์ก (Seljuk Turks) ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม คอยขัดขวางไม่ให้ชาวคริสต์เดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ชาวคริสต์ได้ร้องเรียนและขอความช่วยเหลือจากสันตะปาปาที่กรุงโรม สันตะปาปาและชาวยุโรปในสมัยนั้นเห็นว่า การยึดครองเมืองเยรูซาเล็มจะทำให้ได้อาณาจักรของคริสต์ศาสนามาเป็นของตน จึงชักชวนให้ชาวคริสต์จับอาวุธทำสงครามปราบพวกเตอร์ก ซึ่งดูถูกศาสนาคริสต์และข่มเหงชาวคริสต์ โดยให้ถือว่าการเดินทางไปทำสงครามศาสนาเป็นการไถ่บาปและจะได้ขึ้นสวรรค์ การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าเป็นเจตนารมณ์ของพระผู้เป็นเจ้า

          
สงครามครูเสดก่อให้เกิดผลหลายประการต่อยุโรป ในด้านการทหาร ถือว่าเป็นความล้มเหลวของชาวคริสต์ เพราะไม่สามารถขับไล่พวกมุสลิมออกไปจากดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ได้ ทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการฟื้นฟูการค้าในยุโรป เกิดมีเมืองใหญ่ และธนาคาร ผลทางสังคม ทำให้ระบบฟิวดัลเสื่อมลง พวกทาสได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ทางด้านศาสนา ทำให้คนเสื่อมศรัทธาในศาสนา สันตะปาปามีชื่อเสียงลดลง ในทางการเมือง ทำให้กษัตริย์กลับขึ้นมามีอำนาจใหม่ และทางด้านวิทยาการ ทำให้ชาวยุโรปได้รับความรู้ใหม่ ๆ จากโลกตะวันออก และทำให้เกิดการฟื้นฟูศิลปวิทยาการในเวลาต่อมา กล่าวโดยสรุป สภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของยุโรปเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคสมัยใหม่